ระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
พ.ศ.
2550
กระทรวงการคลังอาศัยอำนาจแห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายเดินทางไปราชการ
พ.ศ. 2526
และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม
จึงได้กำหนดระเบียบว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. 2550
ตามหนังสือกระทรวงการคลัง
ที่ กค 0409.6/ว 265 ลงวันที่ 7 สิงหามคม 2550 มีผลบังคับใช้ 3 สิงหาคม 2550
และให้ยกเลิกระเบียบต่างๆดังนี้
1.
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงเดินทางและค่าเช่าที่พักในการเดินทางไปราชการ
พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ฉบับที่ 2 - 9
2.
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเดินทางไปราชการโดยยานพาหนะประจำทาง
พ.ศ. 2526 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ฉบับที่ 2 - 3
3.
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าเครื่องแต่งตัวข้าราชการที่เดินทางไปราชการต่างประทศชั่วคราว
พ.ศ. 2526 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2538
4.
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการย้ายถิ่นที่อยู่ของข้าราชการหรือลูกจ้างในกรณีคู่สมรสหรือบุตรเดินทางกลับประเทศไทยก่อน
พ.ศ. 2526
หลักเกณฑ์การเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
ตามพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๖
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ลักษณะการเดินทางไปราชการ
ได้แก่
1.
การเดินทางไปราชการในราชอาณาจักร
1.1
การเดินทางไปราชการชั่วคราว
1.2
การเดินทางไปราชการประจำ
1.3
การเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม
2.
การเดินทางไปราชการต่างประเทศ
1.1
การเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราว
2.2
การเดินทางไปราชการประจำในต่างประเทศ
ในที่นี้ขอสรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการชั่วคราวในราชอาณาจักร
การเดินทางไปราชการชั่วคราว
ได้แก่
1.
การไปปฏิบัติราชการชั่วคราว
นอกที่ตั้งสำนักงานซึ่งปฏิบัติราชการปกติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาหรือ
ตามหน้าที่ที่ปฏิบัติราชการโดยปกติ
2.
การไปสอบคัดเลือกหรือรับการคัดเลือกตามที่ได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชา
3.
การไปช่วยราชการ
ไปรักษาการในตำแหน่งหรือไปรักษาราชการแทน
4.
การเดินทางไปราชการเฉพาะระหว่างเวลาที่อยู่ในราชอาณาจักรของผู้ซึ่งรับราชการประจำใน
ต่างประเทศ
5.
การเดินทางข้ามแดนชั่วคราวเพื่อไปปฏิบัติราชการในดินแดนต่างประเทศตามข้อตกลงระหว่างประเทศ
ผู้มีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการชั่วคราวในราชอาณาจักร
ได้แก่
1.
ข้าราชการ
2.
ลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างจากเงินงบประมาณรายจ่าย
สิทธิที่จะได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
1.
ต้องได้รับอนุมัติให้เดินทางไปราชการ
โดยผู้มีอำนาจอนุมัติการเดินทางอนุมัติระยะเวลาในการเดินทางไปราชการตามความจำเป็นและเหมาะสม
2.
ถ้าผู้เดินทางไปราชการมีความจำเป็นต้องออกเดินทางล่วงหน้าหรือไม่สามารถเดินทางกลับท้องที่ตั้งสำนักงานปกติเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการเพราะมีเหตุส่วนตัว
โดยได้รับอนุมัติให้ลากิจหรือลาพักผ่อนตามระเบียบว่าด้วยการนั้น
และได้รับอนุมัติระยะเวลาดังกล่าวจากผู้มีอำนาจอนุมัติการเดินทาง
ให้มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
ต่อเมื่อได้มีการปฏิบัติราชการตามคำสั่ง
ของทางราชการแล้ว
3.
ข้าราชการซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับสูงขึ้น
ภายหลังวันที่ได้เดินทางไปราชการแล้ว
ให้มีสิทธิที่จะรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางตามอัตราสำหรับตำแหน่งระดับที่สูงขึ้นนับแต่วันที่มีคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวแม้คำสั่งนั้นจะให้มีผลย้อนหลังไปถึงหรือก่อนวันออกเดินทางก็ตาม
4.
ข้าราชการซึ่งเดินทางไปรักษาการในตำแหน่งหรือรักษาราชการแทนให้ได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรักษาการในตำแหน่งหรือรักษาราชการแทนตามอัตรา
สำหรับตำแหน่งระดับ ชั้นหรือยศที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่
แต่การเดินทางระหว่างที่รักษาการในตำแหน่งหรือรักษาราชการแทนรวมทั้งการเดินทางกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมให้ได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางตามอัตรา สำหรับตำแหน่งระดับ
ชั้นหรือยศที่ตนรักษาการในตำแหน่งหรือรักษาราชการแทน
ในกรณีที่เป็นการเดินทางไปรักษาการในตำแหน่งหรือรักษาราชการแทนในตำแหน่งระดับ
ชั้นหรือยศที่ต่ำกว่าให้ผู้เดินทางมีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายในอัตราสำหรับตำแหน่งระดับชั้นหรือยศที่ตนดำรงอยู่
5.
การเดินทางไปราชการ
ถ้าผู้เดินทางหยุดอยู่ที่ใดโดยไม่มีเหตุอันควรไม่มีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับระยะเวลาที่หยุดนั้น
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการชั่วคราว
ได้แก่
1.
ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง
2.
ค่าเช่าที่พัก
3.
ค่าพาหนะรวมทั้งค่าเช่ายานพาหนะ
ค่าเชื้อเพลิงหรือพลังงานสำหรับยานพาหนะค่าระวางบรรทุก ค่าจ้างคนหาบหาม และอื่น ๆ
ทำนองเดียวกัน
4.
ค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นต้องจ่าย เนื่องในการเดินทางไปราชการ
เช่นค่าปะยาง ค่าผ่านทางด่วน
1.
การเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง
ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง
เบิกในลักษณะเหมาจ่ายตามจำนวนเงินและเงื่อนไขที่กระทรวงการคลัง
กำหนด
ดังนี้
1.1
อัตราค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง เบิกได้ตามบัญชีหมายเลข 1 โดยกำหนดอัตราค่าเบี้ยเลี้ยงไว้ 2
ประเภท
คือ ประเภท ก และ ประเภท ข
บาท
: วัน
ข้าราชการ |
ประเภท
ก. |
ประเภท
ข. |
ระดับ
1-2 |
180 |
108 |
ระดับ
3-8 |
210 |
126 |
ระดับ
9 ขึ้นไป |
240 |
144 |
หมายเหตุ ประเภท ก ได้แก่
1.
การเดินทางไปราชการนอกจังหวัดพื้นที่ที่ตั้งสำนักงานซึ่งปฏิบัติราชการปกติ
2.
การเดินทางไปราชการจากอำเภอหนึ่งไปปฏิบัติราชการในอำเภอเมืองในจังหวัดเดียวกัน
ประเภท ข
ได้แก่
1.
การเดินทางไปราชการในท้องที่อื่นนอกจากที่กำหนดในประเภท
ก
2.
การเดินทางไปราชการในเขตกรุงเทพมหานคร
ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานซึ่งปฏิบัติราชการปกติ
1.2
เงื่อนไขการเบิกค่าเบี้ยเลี้ยง
1.2.1
การเดินทางไปราชการเรื่องหนึ่งเรื่องใดในสถานที่ปฏิบัติราชการแห่งเดียวกันให้เบิกได้เพียงระยะเวลาไม่เกิน
120 วัน นับแต่วันที่ออกเดินทาง
ถ้าเกินต้องได้รับอนุมัติผู้มีอำนาจจากปลัดกระทรวงเจ้าสังกัด
สำหรับส่วนราชการใดที่ไม่มีปลัดกระทรวงให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจเช่นเดียวกับปลัดกระทรวงเป็นผู้อนุมัติ
ทั้งนี้ให้พิจารณาถึงความจำเป็นและประหยัดด้วย
1.2.2
ในกรณีผู้เดินทางไปราชการเจ็บป่วยและจำเป็นต้องพักเพื่อรักษาพยาบาล
ให้เบิกค่า
เบี้ยเลี้ยงเดินทางได้ไม่เกิน
10 วัน และต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ทางราชการรับรอง ในกรณีไม่มี
แพทย์ที่ทางราชการรับรองอยู่ในท้องที่ที่เกิดเจ็บป่วย
ผู้เดินทางต้องชี้แจงประกอบ
1.3
การนับเวลาเบิกค่าเบี้ยเลี้ยง
ให้นับตั้งแต่เวลาออกจากสถานที่อยู่หรือสถานที่ปฏิบัติราชการตามปกติจนกลับถึงสถานที่อยู่
หรือสถานที่ปฏิบัติราชการตามปกติ แล้วแต่กรณี ดังนี้
1.3.1
การเดินทางที่มีการพักแรมให้นับ 24 ชั่วโมง
เป็น 1 วัน กรณีไม่ถึง 24 ชั่วโมงหรือเกิน 24 ชั่วโมง
และส่วนที่ไม่ถึงหรือเกิน
24 ชั่วโมง ถ้านับได้เกิน 12 ชั่วโมง
ให้ถือเป็น 1 วัน
1.3.2
การเดินทางที่มิได้มีการพักแรม หากนับเวลาได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมงและส่วนที่ไม่ถึงนั้นนับได้เกิน
12 ชั่วโมง ให้ถือเป็น 1 วัน
หากนับได้ไม่เกิน 12 ชั่วโมง แต่เกิน 6 ชั่วโมง ขึ้นไป
ให้นับเป็นครึ่งวัน
กรณีมีความจำเป็นต้องออกเดินทางล่วงหน้า
หรือไม่สามารถเดินทางกลับท้องที่ตั้งสำนักงานปกติเมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการเพราะมีเหตุส่วนตัว
ให้นับเวลาเพื่อคำนวณเบี้ยเลี้ยง ดังนี้
(ก) ลากิจหรือลาพักผ่อนก่อนปฏิบัติราชการให้นับเวลาตั้งแต่เริ่มปฏิบัติราชการ
(ข) ลากิจหรือลาพักผ่อนหลังเสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการให้ถือว่าสิทธิในการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงเดินทางสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นสุดเวลาการปฏิบัติราชการ
2.
การเบิกค่าเช่าที่พักในประเทศ
การเดินทางไปราชการที่จำเป็นต้องพักแรม
ให้ผู้เดินทางไปราชการเบิกค่าเช่าที่พักได้ภายใน วงเงินและเงื่อนไข
ที่กระทรวงการคลังกำหนด
2.1
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
พ.ศ. 2550
อัตราค่าเช่าที่พักในราชอาณาจักร
(บัญชีหมายเลข 3)
ข้าราชการระดับ
8 ลงมา |
เหมาจ่ายไม่เกิน 1,000 บาทต่อวัน |
ข้าราชการระดับ
9 |
เหมาจ่ายไม่เกิน
1,600
บาทต่อวัน |
ข้าราชการ ระดับ
10ขึ้นไป |
เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน
2,500 บาทต่อวัน |
หมายเหตุ
1.
กรณีเดินทางไปราชการในท้องที่ที่มีค่าครองชีพสูงหรือเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้หัวหน้า
ส่วนราชการเจ้าของงบประมาณใช้ดุลพินิจพิจารณาอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าที่พักสูงกว่าอัตรา
ที่กำหนดเพิ่มขึ้นอีกไม่เกิน ร้อยละ 25
2. การพักแรมในยานพาหนะ
หรือการพักแรมในที่ทางราชการจัดไว้ให้แล้ว
เบิกค่าเช่าที่พักไม่ได้
2.2
เงื่อนไขการเบิกค่าเช่าที่พัก
2.2.1 การเดินทางไปราชการ ณ
สถานที่ปฏิบัติราชการใดที่ไม่สะดวกในการเดินทางไปกลับระหว่าง
สถานที่ปฏิบัติราชการนั้นกับสถานที่อยู่ให้เบิกค่าเช่าที่พักระหว่างที่ไปราชการได้เพียงระยะ
เวลาไม่เกิน 120 วัน นับแต่วันที่ออกเดินทาง
ถ้าเกินต้องได้รับอนุมัติจากปลัดกระทรวงเจ้าสังกัด
ทั้งนี้ให้พิจารณาถึงความจำเป็นและประหยัดด้วย
2.2.2
กรณีผู้เดินทางเจ็บป่วยและจำเป็นต้องพักเพื่อรักษาพยาบาลให้เบิกค่าเช่าที่พักสำหรับวันที่พักนั้น
ได้แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 10 วัน
กรณีผู้เดินทางเจ็บป่วยและต้องเข้าพักรักษาตัวในสถานพยาบาลให้งดเบิกค่าเช่าที่พักเว้นแต่กรณีจำเป็น
การเจ็บป่วยตามข้อ
2.2.2 ต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ทางราชการรับรอง
ในกรณีไม่มีแพทย์ที่ทางราชการรับรองอยู่ในท้องที่ที่เกิดเจ็บป่วย
ผู้เดินทางต้องชี้แจงประกอบ
3.
การเบิกค่าพาหนะ
การเดินทางไปราชการโดยปกติให้ใช้ยานพาหนะประจำทางและให้เบิกค่าพาหนะได้เท่าที่จ่ายจริงโดยประหยัดไม่เกินสิทธิที่ผู้เดินทางจะพึงได้รับตามประเภทของยานพาหนะที่ใช้เดินทาง
การเดินทางโดยรถไฟ ให้เบิกค่าพาหนะเดินทางได้เท่าที่จ่ายจริง
สำหรับการเดินทางโดยรถด่วนหรือรถด่วนพิเศษ ชั้นที่ 1 นั่งนอนปรับอากาศ (บนอ.ป.)
ให้เบิกได้เฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งระดับ
6 ขึ้นไป หรือตำแหน่งที่เทียบเท่า
ในกรณีที่ไม่มียานพาหนะประจำทาง
หรือมีแต่ต้องการความรวดเร็วเพื่อประโยชน์แก่ราชการให้ใช้ยานพาหนะอื่นได้แต่ผู้เดินทางจะต้องชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นไว้ในรายงานการเดินทางหรือหลักฐานการขอเบิกเงินค่าพาหนะนั้น
การเดินทางไปราชการโดยยานพาหนะรับจ้าง
สิทธิในการเบิกค่าพาหนะรับจ้าง
1.
ผู้ดำรงตำแหน่งระดับ 6 ขึ้นไป
หรือตำแหน่งที่เทียบเท่าให้เบิกค่าพาหนะรับจ้างได้สำหรับกรณี
ดังต่อไปนี้
(ก) การเดินทาง
ไป-กลับ ระหว่างสถานที่อยู่ ที่พักหรือสถานที่ปฏิบัติราชการ
กับ สถานียานพาหนะ ประจำทางหรือกับสถานที่จัดยานพาหนะที่ต้องใช้ในการเดินทางไปยังสถานที่ปฏิบัติราชการภายใน
เขตจังหวัดเดียวกัน
ถ้าการเดินทางดังกล่าวเป็นการเดินทางข้ามเขตจังหวัดให้เบิกค่าพาหนะรับจ้างได้เท่าที่จ่ายจริงแต่ต้องไม่เกินอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด
(ข) การเดินทาง
ไป-กลับ
ระหว่างสถานที่อยู่ ที่พัก กับ
สถานที่ปฏิบัติราชการภายในเขตจังหวัดเดียวกันวันละไม่เกิน 2 เที่ยว
(ค) การเดินทางไปราชการในเขต
กรุงเทพมหานคร
2.
ข้าราชการระดับ 5 ลงมา
เบิกค่าพาหนะรับจ้างได้ถ้าต้องนำสัมภาระในการเดินทางหรือสิ่งของเครื่องใช้
ของทางราชการไปด้วย
และเป็นเหตุให้ไม่สะดวกที่จะเดินทางโดยยานพาหนะประจำทางให้เบิก
ค่าพาหนะรับจ้างได้
การเดินทางไปสอบคัดเลือก หรือรับการคัดเลือกจะเบิกค่าพาหนะรับจ้าง
ไป-กลับระหว่างสถานที่อยู่ ที่พัก กับ สถานที่ปฏิบัติราชการ
ภายในเขตจังหวัดเดียวกันไม่ได้
ในกรณีผู้เดินทางไปราชการมีความจำเป็นต้องออกเดินทางล่วงหน้าหรือไม่สามารถเดินทางกลับท้องที่ตั้งสำนักงานปกติเมื่อเสร็จสิ้น
การปฏิบัติราชการเพราะมีเหตุส่วนตัว ตามมาตรา
8/1 ให้เบิกค่าพาหนะเท่าที่จ่ายจริงตามเส้นทางที่
ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปราชการ
กรณีที่มีการเดินทางนอกเส้นทางในระหว่างการลาให้เบิกค่าพาหนะได้เท่าที่จ่ายจริงโดยไม่เกินอัตราตามเส้นทางที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปราชการ
การเดินทางโดยพาหนะรับจ้างข้ามเขต
อัตราค่าพาหนะรับจ้างข้ามเขตจังหวัดระหว่างสถานที่อยู่ที่พัก
หรือ
สถานที่ปฏิบัติราชการกับสถานียานพาหนะประจำทางหรือสถานที่จัดพาหนะที่ต้องใช้ในการเดินทางไปยังสถานที่ปฏิบัติราชการ
1.
กรณีเดินทางข้ามเขตจังหวัดระหว่างกรุงเทพฯ
กับจังหวัดที่มีเขตติดต่อกรุงเทพฯ หรือการเดินทางข้ามเขตจังหวัดที่ผ่านเขตกรุงเทพฯ
ให้เบิกเท่าที่จ่ายจริงภายในวงเงินเที่ยวละไม่เกิน 600 บาท
2.
เดินทางข้ามเขตจังหวัดอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อ 1 ให้เบิกเท่าที่จ่ายจริง ภายในวงเงิน เที่ยวละไม่เกิน 500 บาท
การเดินทางไปราชการโดยใช้ยานพาหนะส่วนตัว
ยานพาหนะส่วนตัว
หมายความว่า รถยนต์ส่วนบุคคลหรือรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลซึ่งมิใช่ของทางราชการ
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เดินทางไปราชการหรือไม่ก็ตาม
การใช้ยานพาหนะส่วนตัวไปราชการ
ผู้เดินทางจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา(อธิบดีขึ้นไปหรือตำแหน่งที่เทียบเท่า
สำหรับราชการบริหารส่วนกลาง ,
หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดซึ่งเป็นผู้เบิกเงินสำหรับราชการบริหารส่วนภูมิภาค)
ซึ่งจะมีสิทธิเบิกเงินชดเชยเป็นค่าพาหนะในลักษณะเหมาจ่ายให้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเป็นค่าพาหนะส่วนตัว
เงินชดเชยในการใช้พาหนะส่วนตัวในการเดินทางไปราชการ
-
รถยนต์ส่วนบุคคล กิโลเมตรละ 4 บาท
-
รถจักรยานยนต์ กิโลเมตรละ 2 บาท
การใช้พาหนะส่วนตัวเดินทางไปราชการ
ให้เบิกเงินชดเชยเป็นค่าพาหนะในลักษณะเหมาจ่ายให้ผู้เดินทางไปราชการซึ่งเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองแล้วแต่กรณีในอัตราต่อ
1 คัน ตามอัตราที่กระทรวง การคลังกำหนด
โดยให้คำนวณระยะทางเพื่อเบิกเงินชดเชยตามเส้นทางของกรมทางหลวงในทางสั้นและตรง
ซึ่งสามารถเดินทางได้โดยสะดวกและปลอดภัย
การเดินทางไปราชการโดยเครื่องบิน
พระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ
(ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2548 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
ดังนี้
1.
ผู้มีสิทธิเดินทางโดยเครื่องบินต้องดำรงตำแหน่งระดับ 6 ขึ้นไป หรือตำแหน่งที่เทียบเท่า
2.
ข้าราชการนอกจากข้อ 1 ให้เดินทางได้เฉพาะกรณีจำเป็นรีบด่วนเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ
3.
การเดินทางซึ่งไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามข้อ
1 หรือข้อ 2 จะเบิกค่าใช้จ่ายได้ไม่เกินค่าพาหนะในการเดินทางภาคพื้นดินในระยะเดียวกันตามสิทธิซึ่งผู้เดินทางจะพึงเบิกได้
4.
การเบิกค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นต้องจ่าย
เนื่องในการเดินทางไปราชการต้องเป็นไปตามเงื่อนไข
ดังนี้
4.1
เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่าย
หากไม่จ่ายไม่อาจเดินทางถึงจุดหมายแต่ละช่วงที่เดินทางไป
ปฏิบัติราชการได้
4.2
ต้องไม่เป็นค่าใช้จ่ายที่มีกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
ข้อบังคับหรือหนังสือสั่งการของ
กระทรวงการคลังกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ
4.3
ต้องไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับเนื้องานที่ไปปฏิบัติราชการ
ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน
ของส่วนราชการ
การเทียบตำแหน่งลูกจ้างประจำในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ (หนังสือกระทรวงการคลัง
ด่วนที่สุด ที่ กค 0502/ว150 ลงวันที่ 28 กันยายน 2535) เทียบได้ ดังนี้
1.
หมวดแรงงาน หมวดกึ่งฝีมือ
เทียบเท่า
ข้าราชการระดับ
1 |
|
2.
หมวดฝีมือ หมวดฝีมือพิเศษระดับต้น เทียบเท่า
ข้าราชการระดับ 2 |
|
3.
หมวดฝีมือพิเศษระดับกลาง
ฝีมือพิเศษระดับสูง และฝีมือพิเศษเฉพาะ เทียบเท่า ข้าราชการระดับ
3 |
ลูกจ้าง
- เฉพาะลูกจ้างซึ่งรับค่าจ้างจากเงินงบประมาณ
- ยกเว้นลูกจ้างต่างประเทศที่มีสัญญาจ้าง
เทียบตำแหน่งลูกจ้างตามหนังสือกระทรวงการคลัง
ที่ กค 0502/ว
150 ลงวันที่
28 กันยายน
2535 ดังนี้
หมวดแรงงาน หมวดกึ่งฝีมือ
เทียบเท่า ระดับ 1
หมวดฝีมือ หมวดฝีมือพิเศษระดับต้น
เทียบเท่า
ระดับ 2
หมวดฝีมือพิเศษระดับกลาง ระดับสูง และเฉพาะ
เทียบเท่า
ระดับ 3
ยกเว้น ตามหนังสือกระทรวงการคลัง
ที่ กค 0502/ว
32 ลงวันที่
5
เมษายน
2536 กำหนดว่าหากลูกจ้าง
รายใดเคยมีสิทธิในการเบิกเทียบเท่าระดับ 3 อยู่ก่อนวันที่
1
เมษายน
2535 (ได้รับค่าจ้างเกินกว่า
3,800
บาทขึ้นไป) ให้มีสิทธิเทียบเท่าระดับ
3 ต่อไป จนกว่าจะออกจากราชการ
--------------------------------------------------------
สรุปโดย
หน่วยตรวจสอบภายใน สป.